วิกกุตการณ์ใหญ่ครั้งที่ห้า เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 โดยการก่อวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดในกรุง นิวยอร์กของ สหรัฐ สร้างความหวาดผวาให้คนทั่วโลก ตลาดหุ้นไทยต้องประกาศปิดการซื้อขาย 1 วัน ในวันที่ 12 กันยายน 2544 และถือเป็นครั้งแรกที่ตลาดหุ้นปิดทำการ นับแต่ก่อตั้งเมื่อ 30 เมษายน 2518 เพื่อชะลอผลกระทบจากความตื่นตระหนกในการขายหุ้น
แต่วิกฤตครั้งนี้กินเวลาสั้น ๆ และดัชนีฯมีความผันผวนน้อยมาก โดยปรับตัวลงจากระดับ 330.37 จุด ซึ่งเป็นจุดปิดก่อนวันเกิดเหตุการณ์เพียงเล็กน้อยวิกฤตใหญ่ทั้ง 5 รอบ แม้จะไม่ทำให้ตลาดหุ้นพังพินาศลงแต่สำหรับนักลงทุน ในแต่ละรอบบาดเจ็บสาหัสชนิดต้องหามเข้าห้องไอชียูกันนับหมื่น ๆ คน และนับร้อยนับพันคนถึงขั้นหมดเนื้อ
หมดตัว เพราะหนีไม่ทัน ขายหุ้นทิ้งไม่ทัน หรือไม่ก็ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด
ย้อนวิกฤตการณ์แต่ละรอบ สมมุติว่าในช่วงเริ่มตันขาลงถ้าประเมินสถานการณ์ผิด คิดว่าหุ้นจะไม่ลงแรง หรือไม่เชื่อว่า หุ้นกำลังปรับตัวสู่รอบขาลง โดยหมีตัวใหญ่เดินมาแล้ว และเข้าไปไล้ช้อนซื้อหุ้น ลองนึก จะรอดได้อย่างไร นักลงทันทั่วไปมักมอง หุ้นขาลงในแง่ดีเกินไป ชอบคิดเข้าข้างตัวเอง โดยประเมินว่า รอบขาลงจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น เดี๋ยวหุ้นต้องดีดกลับขึ้นมาใหม่ จึงไม่ยอมซิงตัดขายขาดทุน แถมไล่ซื้อหุ้นสวนกระแสอีกด้วย
การลงทุนไม่มีการขอโทษหรือขออภัย เพราะถ้ผิดพลาดแล้วถึงขึ้นเสียชีวิต การซื้อหุ้นขาลงก็เช่นเดียวกัน ถ้าตัดสินใจพลาดไปเรียกรถปอเต็กตึ้งมารอรับได้ เพราะอาจบาดเจ็บจนหมดโอกาสเยียวยารักษา หมดโอกาสแก้ตัว เนื่องจากถมเงินไปจนหมดหน้าตักตั้งแต่รอบขาลงเพิ่งเริ่มต้นแล้ว
บทเรียนจากวิกฤตในอดีต ทำให้คนที่เคยผ่านประสบการณ์ ย้ำเตือนนักลงทุนหน้าใหม่เสมอว่า “น้ำเชี่ยว อย่าพายเรือเข้าไปวาง” เพราะเรืองะอับปาง การพายเรือขวางทางกระแสน้ำเชี่ยว ถ้เรือล่ม ยังพอกู้ขึ้นมาใหม่ได้ หรือลอยคอตามน้ำก็ยังพอรอด แต่การซื้อหุ้นสวนทางขาลง เมื่อเกิดความล่มจมแล้ว ใครล่ะจะกอบกู้ไหว
#หุ้น #เล่นหุ้น #ลงทุน #ตลาดหุ้น #SET #ฝากเงินขั้นต่ำ200บาท