สวัสดีครับท่านนักลงทุนทุกท่าน ช่วงนี้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กำลังทยอยประกาศผลประกอบการของไตรมาสที่ 1/2564 เรื่อย ๆ ซึ่ง บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ก็ได้มีการประกาศผลประกอบการมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผมเชื่อว่าก่อนหน้านี้ นักลงทุนหลายท่านคงพอจะทราบแล้วว่า
ผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2564 ของ OR นั้น มีกำไรที่น่าพอใจ แต่สำหรับผมนั้น ก็รับทราบแค่ผลกำไรสุทธิ คงยังไม่เพียงพอกับการลงทุนในระยะกลางถึงยาว ดังนั้น เพื่อให้ทุกท่านได้ทราบข้อมูลอย่างเพียงพอ รวมถึงหากผู้ใดไม่มีเวลาอ่าน ในวันนี้ผมเลยมาสรุปให้ทุกท่านฟังครับ

OR โดยสรุป
ผมขอเริ่มต้นข้อสรุปของ OR ไตรมาสนี้ ด้วยเรื่องสัดส่วนรายได้แล้วกันครับ ซึ่งอย่างที่หลายคนทราบกันดี ว่า OR มีรายได้ 4 กลุ่ม โดยไตรมาสนี้ แต่ละกลุ่มมีสัดส่วนรายได้แบบนี้ครับ กลุ่มแรก ธุรกิจน้ำมัน มีสัดส่วน 91% กลุ่มที่สองธุรกิจ Non-oil มีสัดส่วน 3.4% กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ 5.3% และอื่น ๆ 0.3% เรียกได้ว่า การขายน้ำมัน ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญของ OR
มาถึงส่วนแบ่งการตลาดกันบ้าง โดยปัจจุบัน OR ยังคงครองความเป็นหนึ่งของส่วนแบ่งการตลาด ในสัดส่วน 42.1% ซึ่งปัจจุบัน หากนับรวมสถานีบริการน้ำมันทั้งของไทยและของประเทศเมียนมาร์ OR มีสถานีบริการน้ำมัน ถึง 2010 สถานีเข้าไปแล้ว ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว มีแค่ 1,922 สถานี เท่านั้น

ในส่วนของธุรกิจ Non-oil โดยเฉพาะร้านคาเฟ่ อเมซอน หากนับรวมสาขาในประเทศไทย ญี่ปุ่น เมียนมาร์ และมาเลเซีย ปัจจุบันมีสาขารวมกันถึง 3,376 สาขา เข้าไปแล้ว ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วถึง 356 สาขา
สำหรับการลงทุนของบริษัทที่สำคัญ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการขับเคลื่อนธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยังมีอีกหลายโครงการที่กำลังแล้วเสร็จในอนาคตอันใกล้ อาทิ โรงงานเบเกอรี่และศูนย์กระจายสินค้า ที่จะเป็นตัวสนับสนุนร้านคาเฟ่ อเมซอน ในอนาคตนั้น ปัจจุบัน ได้มีความคืบหน้าไปแล้วถึง 90% และคาดว่าจะแล้วเสร็จ ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้

เมื่อลองพิจารณาจากข้อสรุปที่กล่าวมา ทุกกลุ่มของ OR ก็ค่อย ๆ เติบโตด้วยดี แต่หากมองทิศทางในระยะสั้น ความคิดเห็นส่วนตัวของผม คือ เป็นความท้าทายของOR อย่างยิ่ง เนื่องจากนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นมา สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดค่อนข้างหนัก และด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้การเดินทางของผู้คนลดลงตามไปด้วย
ประกอบกับ ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในสหรัฐ จนธนาคารกลางสหรัฐเพิ่มอัตราดอกเบี้ย และนั่นอาจทำให้มีถอนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
เครดิตภาพ mgronline.com ,siambusinessnews.comและgotomanager.com