วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องความเหมาะ ความชอบ ความถนัดกันครับ ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนทุกวงการ ไม่ใช่มีเพียงแค่ ผู้ที่กำลังตบเท้าเข้ามาในตลาดหุ้นหมาด ๆ ซิง ๆ เท่านั้น ที่ต้องอ่าน คืออย่างนี้ครับ ผมจะยกตัวอย่างเรื่องง่าย ๆ ครับว่า หากคุณเป็นคนที่มีความจำเป็นต้องใช้รถ แต่คุณไม่ได้มีเงินมากพอที่จะจัดการถอยรถป้ายแดง ขอเพียงแค่รถมือสองสภาพดี ๆ ก็โอเคละ
ความน่าสนใจก็คือ ถ้าเราไม่มีความรู้เรื่องรถเลย พยายามศึกษาแล้วก็ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น ทางออกก็คือ ถ้าเรามีเพื่อนหรือญาติพี่น้อง ที่เข้าใจเรื่องรถ หรือโชคดีหน่อย หากเขาเป็นเจ้าของเต้นท์รถ ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเราไม่มีเพื่อนหรือญาติที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้เลย คุณกล้าที่จะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปแล้วเชื่อใจคนขายได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ ก็มีความคล้ายกับการเดินเข้ามาในตลาดหุ้น ของผู้คนมากมาย

ตลาดหุ้น ถ้าใจไม่รักอย่าเข้ามาเลย
ความจริงแล้วการที่เรารักในสิ่งที่ทำ ผลของสิ่งที่เราทำนั้นก็มักจะออกมาดี หรือยอดเยี่ยม สามารถนำไปใช้ได้กับทุกอาชีพ ที่ผมพูดเช่นนี้ก็เพราะว่า ถ้าเราเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วมันสามารถแก้ปัญหาให้คนหมู่มากได้ รวมทั้งคนส่วนมากเห็นคุณค่า สิ่งนั้นก็จะสร้างเม็ดเงินให้กับเราอย่างมหาศาล เพราะฉะนั้น แม้หุ้นจะใช้เงินเป็นตัวขับเคลื่อน แต่ถ้าเราไม่ชอบและไม่มีความสุขกับวิธีการหรือเรื่องราวอื่น ๆ ของมัน การเข้ามาในตลาดหุ้นอาจเป็นหายนะได้

คำถามก็คือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นคือทางของเรา คำตอบของผมก็คือ เมื่อเราเริ่มศึกษามัน เราจะหมกมุ่นอยู่กับมันโดยไม่รู้สึกเหนื่อย ซึ่งผมเองตอนที่ศึกษาหุ้นใหม่ ๆ ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือของ
คุณกวี ชูกิจเกษม ที่ชื่อว่า “เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน” โดยผมซื้อหนังสือเล่มนี้ตอนเย็นหลังเลิกงาน พอกลับถึงบ้าน ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบในคืนนั้น และที่แปลกก็คือ ทุกครั้งที่ผมเบื่อ ๆ ผมก็หยิบเล่มนี้มาอ่านอีก ต้องยอมรับว่าคุณกวี เขียนหนังสือเล่มนี้ได้ดี อ่านสนุก เนื้อหาสาระเหมาะกับมือใหม่มาก ๆ

ประการสุดท้าย ทีนี้คุณก็ลองสำรวจตัวเองดูว่า เรามีความบ้า มีความหลงใหล ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับหุ้นในตลาดหุ้นหรือไม่ ซึ่งความหลงใหลนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นแนวVI หรือพื้นฐานเท่านั้น คุณอาจจะหลงใหลแนวเทคนิค ที่ดูกราฟเป็นหลักก็ได้ ขอแค่คุณชอบและมีความสุขในการอยู่กับมันได้ นาน ๆ แค่นั้นเอง…สวัสดีครับ
#ตลาดหุ้น #หุ้น #การลงทุน