ไวน์ ( Wine ) การลงทุนที่ได้กำไร

ดีครับนักลงทุนทุกท่าน วันนี้ผมมาพูดถึงการลงทุนที่น่าสนใจอีกตัว ไวน์ ( Wine ) การลงทุนที่ได้กำไร มาสุดถึง 200 เปอร์เซ็นต์ เดี๋ยววันนี้เรามาดูการลงทุนในรูปแบบนี้ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากความชื่นชอบของนักสะสมล้วนๆ

ไวน์ ( Wine ) ผลิตโดยการบ่มองุ่นไว้เป็นเวลานาน รสชาติของไวน์จะดีขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แหล่งที่ผลิต ปีที่ผลิต พันธุ์ขององุ่น สภาพดินฟ้าอากาศ น้ำในปีนั้น แต่ละสถานที่ก็เพราะพันธุ์องุ่นได้ไม่เท่ากันในแต่ละปี จึงทำให้รสชาติของไวน์ที่บ่มต่างกันออกไปในแต่ละปี

ด้วยความหลงไหลในรสชาติ และวิธีการผลิต ความหายากของมัน ทำให้ไวน์บางยี่ห้อมีราคาสูงขึ้นทุกปี จริงๆแล้วที่นิยมมีอยู่ 5 ตัวที่เขาเล่นๆกัน และเป็นที่ต้องการของท้องตลาด ได้มีการจัดชั้นและประเภทเอาไว้ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.1855 และปัจจุบันยังคงใช้อ้างอิงอยู่ มีทั้งสิ้น 5 แบรนด์ คือ

1.Lafite Rothschid (ลาฟิต รอธชายด์) 2.Latour (ลาตูร์) 3.Margaux (มาร์โก) 4.Mouton Rothschid (มูตอง รอธชายด์) และ 5.Haut Brion (โอ บรีออง)

ตัวอย่างของราคาไวน์ที่จะยกแล้วเห็นได้ชัดดังต่อไปนี้

Lafite Rothschid กับของค่าย Latour จะมีราคาพอๆกัน คือ วินเทจถูกๆ หรือปีที่ผลผลิตองุ่นไม่ดีนัก เช่น ปี 2007 กับ 2011 ปัจจุบันขายกันอยู่ขวดละประมาณ 23,000-25,000 บาท แต่ถ้าเป็นปีแพงๆ หรือปีที่ผลผลิตองุ่นดี เช่น ปี 1982 หรือ 2000 ราคาจะตกขวดละประมาณ 1 แสนบาท

ส่วน Mouton Rothschid ปีที่ผลผลิตองุ่นไม่ดี ราคาขวดละประมาณ 17,000 บาท แต่ปีที่ผลผลิตองุ่นดีจะมีราคาถึงขวดละ 8 หมื่นบาท ใกล้เคียงกับ Haut Brion ปีที่ผลผลิตไม่ดี ตกขวดละ 15,000 บาท ส่วนปีที่ผลผลิตองุ่นดี ราคาขวดละประมาณ 70,000 บาท เป็นต้น

แต่เมื่อเทียบกับไวน์แดงของ Romanee Conti ปีที่ผลผลิตองุ่นไม่ดี เช่น ปี 2004 มีฝนตกเยอะ ปัจจุบันขายกันขวดละ 400,000 บาท ส่วนปีที่วินเทจดีๆ อย่างเช่น ปี 1990 ราคาขายอยู่ที่ขวดละ 1 ล้านกว่าบาท

เช่นเดียวกับไวน์ของ Henry Jayer ซึ่งมีไร่องุ่นอยู่เหนือถัดจากไร่ของโรมานี คองติ ขึ้นไปนิดเดียว แต่มีพื้นที่ไม่มากเท่า จึงผลิตไวน์ได้เพียงปีละไม่กี่ร้อยขวด สนนราคาจะพอๆกัน

ทีนี้ก็มาถึงช่วงของการคลี่คลายปริศนาว่า เหตุใดไวน์ดีและหายาก จึงทำผลกำไร หรือมูลค่าเพิ่มของการสะสมให้แก่เจ้าของได้สูงถึง เกือบ 200%

Table of Contents